Last updated: 18 ก.พ. 2567 | 1364 จำนวนผู้เข้าชม |
โรค NCDs หรือ Non-Communicable Diseases เป็นกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง คือ ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคและไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ แต่เป็นโรคที่เกิดจากนิสัยหรือพฤติกรรมการดำเนินชีวิตอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งจะมีการดำเนินโรคอย่างช้าๆ ค่อยๆ สะสมอาการอย่างต่อเนื่อง และเมื่อมีอาการของโรคแล้วมักจะเกิดการเรื้อรังของโรคด้วย
ตัวอย่างของโรค NCDs ได้แก่
1. โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Diseases - CVDs): รวมถึงโรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคหลอดเลือดสมอง, และโรคหลอดเลือดที่เสื่อมทุกสาขา
2. โรคมะเร็ง (Cancer): มะเร็งเป็นกรุ๊ปโรคที่เกิดจากการเจริญเติบโตผิวเยื่อที่ไม่ปกติ
3. โรคเบาหวาน (Diabetes): โรคที่เกิดจากปัญหาในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
4. โรคเมตาบอลิซึม (Metabolic Syndrome): ผู้ป่วยมีกลุ่มปัญหาสุขภาพเช่น ความดันโลหิตสูง, ระดับน้ำตาลในเลือดสูง, และระดับไขมันในเลือดสูง
5. โรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ (Autoimmune Diseases): เช่น โรคหลอดเลือดสมองอักเสบ (Multiple Sclerosis), ไทรอยด์, และโรคเรามาตอยด์
6. โรคปอดเรื้อรัง (Chronic Respiratory Diseases): รวมถึงโรคเบาหวาน, โรคถุงลมโป่งพอง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease - COPD), และฟิโบรซิส
7. โรคโรคไต (Chronic Kidney Diseases): เช่น โรคไตเรื้อรัง
8. โรคหลอดเลือดและโรคทางการหลอดเลือด (Cerebrovascular Disease): เช่น โรคอัมพฤกษ์, โรคที่เกี่ยวกับการไหลเวียนเลือดที่สมอง
9. โรคซึมเศร้า (Depression): ถึงจะไม่ใช่โรคร่างกาย, แต่มีผลกระทบที่สำคัญต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ
10. โรคภูมิแพ้ (Allergies): อาการหลายประการที่เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อสารตกค้างในสิ่งแวดล้อม
สาเหตุหลักของโรค NCDs คือพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ในการดำเนินชีวิต เช่น การรับประทานอาหารรสจัด เช่น หวานจัด เค็มจัด อาหารที่มีไขมันสูง อาหารปิ้งย่าง การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ การไม่ออกกำลังกาย การนอนดึก การมีความเครียดสูง การรับประทานยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เป็นต้น
โรคเบาหวานเป็นหนึ่งในกลุ่มโรค NCDs หรือ Non-Communicable diseases ซึ่งหมายถึงกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อโรค แต่เกิดจากการมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น การกินอาหารไม่สมดุล การออกกำลังกายไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ หรือการเครียดมากเกินไป ซึ่งส่งผลให้ร่างกายมีความผิดปกติในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus) เป็นโรคที่เกิดจากปัญหาในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของร่างกาย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์แบ่งเบาหวานเป็นหลายประเภท แต่สามารถแบ่งได้หลักๆ เป็น 2 ประเภทหลัก:
- เบาหวานประเภท 1 (Type 1 Diabetes): นับเป็นโรคที่พบได้น้อยที่สุด และเกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์ที่ผลิตอินซูลินในส่วนหนึ่งของสมองที่เรียกว่า ไขสันหลังสีหลาย (pancreatic islets) ทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินเพียงพอสำหรับการควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ ผู้ป่วยจะต้องรับการฉีดอินซูลินเป็นประจำทุกวัน.
- เบาหวานประเภท 2 (Type 2 Diabetes): เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุด และเกิดจากปัจจัยทั้งทางพันธุกรรมและสภาพแวดล้อม ในประเทศที่มีพัฒนามากขึ้น, โรคนี้มักเกิดในกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมทางด้านอาหารไม่ดี, พฤติกรรมการออกกำลังกายน้อย, และอ้วน. ในเบาหวานประเภท 2, ร่างกายสามารถผลิตอินซูลินได้ แต่ไม่สามารถใช้งานได้อย่างที่ควร หรือมีการผลิตน้อยลง. นอกจากนี้, อินซูลินที่ถูกผลิตมีประสิทธิภาพน้อย
อาการของโรคเบาหวานรวมถึงการกระจายน้ำตาลในเลือดสูง, ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลในเลือดได้อย่างที่ถูกต้อง, และน้ำตาลขัดเคลือบอยู่ในเลือด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบที่หลายๆ ระบบของร่างกาย, เช่น หัวใจ, สายตา, ไต, และระบบประสาท.
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ภาวะแทรกซ้อนระยะสั้น และภาวะแทรกซ้อนระยะยาว
- ภาวะแทรกซ้อนระยะสั้น คือ ภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติอย่างรุนแรง ทั้งที่สูงเกินไป (Hyperglycemia) หรือต่ำเกินไป (Hypoglycemia) ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากการรับประทานอาหารไม่เหมาะสม การใช้ยาลดน้ำตาลหรืออินซูลินไม่ถูกต้อง การออกกำลังกายมากเกินไป หรือการมีโรคอื่น ๆ เพิ่มขึ้น ภาวะแทรกซ้อนระยะสั้น อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยง่าย หน้ามืด ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ อ่อนเพลีย หรือหมดสติได้ ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาทันที อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงขึ้น เช่น ภาวะเฉียบพลันจากเบาหวาน (Diabetic Ketoacidosis) ภาวะเลือดหนาจากเบาหวาน (Hyperosmolar Hyperglycemic State) หรือภาวะสมองขาดน้ำตาล (Hypoglycemic Coma)
- ภาวะแทรกซ้อนระยะยาว คือ ภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยเป็นเบาหวานมานาน โดยมีการทำลายหลอดเลือดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งส่งผลให้เกิดโรคอื่น ๆ เพิ่มขึ้น ภาวะแทรกซ้อนระยะยาว สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
- ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการทำลายหลอดเลือดขนาดใหญ่ (Macrovascular Complications) เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดแขนขา ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในผู้ป่วยเบาหวาน
- ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการทำลายหลอดเลือดขนาดเล็ก (Microvascular Complications) เช่น ภาวะแทรกซ้อนทางตา (Diabetic Retinopathy) ภาวะแทรกซ้อนทางไต (Diabetic Nephropathy) ภาวะแทรกซ้อนทางเส้นประสาท (Diabetic Neuropathy) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียการมองเห็น การไตวาย และการต้องตัดขาในผู้ป่วยเบาหวาน
การป้องกันและรักษาภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน สำคัญมากสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน โดยมีหลักการดังนี้
- การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือลดน้ำหนักลงถ้ามีน้ำหนักเกิน
- การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และสารอาหารครบถ้วน โดยเน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช และอาหารที่มีกากใยสูง และระมัดระวังการรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต อาหารไขมันสูง ขนม หรือเครื่องดื่มที่มีความหวาน
- การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง โดยเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับร่างกาย และความชอบของตนเอง เช่น เดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือเต้นแอโรบิค
- การหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนได้มากขึ้น
- การตรวจสุขภาพทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน หรือมีภาวะเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือภาวะเมแทบอลิก
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ การป้องกันโรคเบาหวานจึงมีความสำคัญอย่างมาก โดยวิธีการป้องกันที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ คือ การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ปัจจุบันคนไทยป่วยด้วยเบาหวานเป็นจำนวนมาก และการรับประทานยาปฏิชีวนะเป็นระยะเวลานาน ก็ส่งผลเสียกับร่างกาย เฮ็ลธ์ฟู้ดส์ขอแนะนำพืชสมุนไพรทางเลือก
ว่านหางจระเข้ เป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณหลายอย่าง โดยเฉพาะในการรักษาแผล และบำรุงผิวหนัง แต่นอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังมีสารที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและรักษาโรคเบาหวาน
ว่านหางจระเข้มีสารโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) ที่มีฤทธิ์เป็นอินซูลิน (Insulin) ช่วยให้เซลล์ร่างกายนำน้ำตาลเข้าไปใช้เป็นพลังงานได้ และลดการสะสมของน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังมีสารออกซิเดส (Oxidase) ที่ช่วยย่อยน้ำตาลในเลือดได้ และสารแอนทราควิโนน (Anthraquinone) ที่มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาลในลำไส้
ดังนั้น ว่านหางจระเข้จึงเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวาน และได้รับการยอมรับจากวงการแพทย์ทางเลือก โดยสามารถนำมาใช้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เนื้อวุ้น น้ำว่านหางจระเข้ น้ำสกัดว่านหางจระเข้
ว่านหางจระเข้ สรรพคุณและประโยชน์ในการป้องกันโรคเบาหวาน
- ว่านหางจระเข้ เป็นพืชสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการรักษาแผล อักเสบ และเป็นตัวกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรค มีการศึกษาและใช้ในการรักษาโรคต่างๆ มานานหลายศตวรรษ ในบทความนี้ เราจะมาดูกันว่าว่านหางจระเข้มีประโยชน์อย่างไรต่อการป้องกันโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ว่านหางจระเข้ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด : ว่านหางจระเข้มีสารโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) ที่มีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้เซลล์ร่างกายนำน้ำตาลเข้าไปใช้เป็นพลังงาน ดังนั้น การรับประทานเนื้อวุ้นว่านหางจระเข้ หรือจะเอาไปปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ก็ทานง่ายขึ้น จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคเบาหวาน
มีการศึกษาที่พบว่า การให้น้ำว่านหางจระเข้แก่ผู้ป่วยเบาหวาน สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือด และเพิ่มความไวต่ออินซูลินได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้อีกด้วย
ว่านหางจระเข้ช่วยรักษาและป้องกันแผลเรื้อรังจากเบาหวาน
ผู้ป่วยเบาหวานมักมีปัญหาเกี่ยวกับการเกิดแผลเรื้อรัง โดยเฉพาะบริเวณเท้า ซึ่งเกิดจากการที่เส้นเลือดและเส้นประสาทถูกทำลายจากน้ำตาลในเลือดที่สูง ทำให้การไหลเวียนของเลือดและการรับรู้ความรู้สึกลดลง แผลที่เกิดขึ้นจึงหายช้า และมีความเสี่ยงติดเชื้อและแพร่กระจายได้ง่าย
ว่านหางจระเข้มีสารสำคัญที่ช่วยรักษาบาดแผลให้หายเร็ว และยังช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล ได้แก่ สารโพลียูโรไนด์ (Polyuronide) และโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) ซึ่งมีฤทธิ์ฝาดสมานแผล ห้ามเลือด และต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังมีสารออกฤทธิ์อื่นๆ เช่น สารออกฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย สารออกฤทธิ์ต้านไวรัส สารออกฤทธิ์ต้านเชื้อรา และสารออกฤทธิ์

น้ำว่านหางจระเข้ แบรนด์เฮ็ลธ์ฟู้ดส์ เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ผ่านการปลูกแบบพิถีพิถันทุกขั้นตอน ตั้งแต่การปอกเปลือกไปจนถึงการบรรจุลงขวด เพื่อให้ได้น้ำว่านหางจระเข้ที่สดใหม่ อันแน่นด้วยคุณค่าของว่านหางจระเข้ น้ำว่านหางจระเข้ แบรนด์เฮ็ลธ์ฟู้ดส์ บรรจุในขวดแก้ว พกพาง่าย ดื่มแล้วสดชื่น ดีต่อสุขภาพ เสมือนได้ทานน้ำว่านหางจระเข้สดๆ จากธรรมชาติ